วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกาแฟ

นับตั้งแต่สมัยโบราณ คนเรารู้จัก "กาแฟ" มาเป็นระยะเวลากว่าพันปีแล้วจวบจนปัจจุบันกาแฟนับเป็นเครื่องดื่ม
ยอดนิยมยิ่งและนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก แต่จะมีอีกกี่คนที่ทราบว่านอกจากรสละมุนลึกล้ำแล้ว หากรับประทาน
ในปริมาณที่เหมาะสม "คาเฟอีน" ในกาแฟมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจในหลายด้านด้วยกัน

คาเฟอีนกระตุ้นให้สมองตื่นตัว ซึ่งจะเร่งความเร็วของการประมวลผลข้อมูลในสมองและย่นระยะเวลาในการ
ตอบสนอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานที่ต้องการสมาธิ การใช้เหตุผลและความจำ คาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะ
ช่วยลดความหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้าและความเครียดได้ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจและมีความสุข

ด้านโภชนาการ การดื่มกาแฟช่วยให้ร่างกายได้รับของเหลวเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน อีกทั้งเนื้อกาแฟ
ยังมี แร่ธาตุไนแทซเซียมและไนอาซีน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยว่าคาเฟอีน
ช่วยกระตุ้นการใช้พลังงานของร่างกาย ทำให้ไขมันสลายตัวเพิ่มขึ้น จึงอาจดื่มกาแฟเป็นเครื่องดื่มในการลดน้ำหนัก
และเนื่องจากคาเฟอีนและสารอื่นที่มีอยู่ในกาแฟช่วยกระตุ้นการหลั่งกรดและน้ำย่อย กาแฟจึงช่วยในการย่อยอาหาร
เป็นเหตุให้คนจำนวนมากดื่มกาแฟหลังอาหารแต่ละมื้อ

จากการวิจัยทางการแพทย์สหรัฐฯ โดยดร.จี เวปสเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและคณะจากศูนย์
์ การแพทย์นครฮอนโนลูลู สหรัฐฯ พบว่าผู้ชายที่ไม่ดื่มกาแฟมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคพาคิสันมากกว่าพวกที่ดื่มกาแฟ
มากกว่าวันละ 5 ถ้วย ถึง 5 เท่า ผลกระทบของคาเฟอีนต่อเส้นเลือดมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์ เพราะคาเฟอีนช่วย
ไปขยายหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เส้นเลือดแดง
บริเวณที่ศีรษะหดตัว ซึ่งช่วยลดอาการปวดหัวจากไมเกรนได้ จากการศึกษาของนายแพทย์ วินเซนต์ ทูบิโอโล
แห่งศูนย์การแพทย์ยูซีแอลเออ-ฮาร์เบอร์ ได้ตั้งทฤษฎีใหม่ว่า การรับคาเฟอีนจำนวน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
อาจช่วยลดอาการแพ้เกสรดอกไม้ได้

จากรายงานการวิจัยในกลุ่มสตรีที่ดื่มกาแฟไม่เกิน 5 ถ้วยต่อวันพบว่า กาแฟไม่มีส่วนทำให้เป็นการเสี่ยงต่อการ
เป็นโรคของหัวใจมากขึ้น แม้ในรายที่มีปัญหาเส้นเลือดอุดตันหรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟทุกวัน
วันละหกถ้วยขึ้นไปก็ไม่มีอัตราหัวใจสูงกว่าปกติ และจากการสำรวจหลายครั้ง รวมทั้งการวิจัยโดยมหาวิทยาลัย
ฮาร์วาร์ดพบว่าผู้ดื่มกาแฟมีอัตร่การเป็นมะเร็งเต้านมต่ำกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ ส่วนการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตัน
พบว่า คนไข้ที่ดื่มกาแฟอย่างน้องห้าถ้วยต่อวัน มีความเสี่ยงเป้นมะเร็งลำไส้ต่ำกว่ากลุ่มอื่นถึงร้อยละ 40

กาแฟยังกลายเป็นข่าวดีสำหรับผู้ชายทั่วโลก เมื่อดร.ดาร์ซี โรแบร์โตลิมา ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยาของ
มหาวิทยาลัยริโอ เดอจาเนโร ในบราซิล เปิดเผยว่า ผู้ที่มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศอันเนื่องมาจากการดื่มสุรา
การเสพยา ภาวะซึมเศร้าและอายุขัย สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวัน

โดยในที่นี้ พอจะสรุปคุณประโยชน์ของ กาแฟ ออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ คือ

1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B
ี มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกล่าว

2. ป้องกันโรคหอบ
โรคนี้ คือ อาการภูมิแพ้ชนิดหนึ่งโดยทั่วไปเมื่อมีประสาทสำรองไม่ถูกกระตุ้นจะไม่มีอาการหอบเกิดขึ้นง่ายๆ
แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น จะเกิดอาการหอบทันทีและคาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียด
ของประสาทสัมผัสสำรอง ลดการเกิดโรคหอบ

3. ลดการเกิดโรคตับจากสุรา
ตามที่นักวิชาการสำรวจแล้วพบว่า กาแฟช่วยลดผลร้ายที่จะมีต่อตับ แต่ยังต้องวิจัยต่อไปว่าสารใดที่มี
ี ประโยชน์ดังกล่าว และมีผลต่อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์

4. ป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก
จากผลการทดลองจริง พบว่ากาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้นโดยเฉพาะในคาเฟอีนมีกรด
อะซิติกที่ช่วยป้องกันโรค

5. ขับไล่ความชรา
ออกซิเจนเป็นสารที่ร่างกายต้องการมากก็จริงแต่ถ้ามีออกซิเจนมากไปทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและแก่เร็ว
โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้นจะทำให้ออกไซด์แตกตัวลดการเกิดมะเร็งได้กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

6. กาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ
ในกาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับในบุหรี่ แต่เป็นวิตามิน Bรวมชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดจึงป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแข็งตัว

7. ละลายไขมัน
กาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้

8. กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย
ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่าคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆจะมีไขมันชนิด(HDL)เพิ่มขึ้น
ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว

9. แก้ปวดศีรษะ
กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวดและยังช่วย
ขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้

10. เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง
มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่าความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้
เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น

11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว
หากได้ดื่มกาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีนในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง
น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

ข้อเสียของกาแฟ


ใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำ รู้ถึงข้อเสียของกาแฟกันหรือเปล่า วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...


ผลการวิจัยจากประเทศกรีซ บอกว่า

กาแฟ ที่ดื่มปานกลางถึงมากทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ นักวิจัยศึกษาลงลึกในเรื่องกาแฟกับการอักเสบ (coffee and inflammation) ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วนและเบาหวาน


รายงานการวิจัยซึ่งปรากฏในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ฉบับเดือนตุลาคม ระบุว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟพอประมาณไปจนถึงมากพบร่องรอยการอักเสบในระดับสูงกว่าผู้ไม่ ดื่มกาแฟ งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวกรีกชายหญิงจำนวน 3,000 คนที่ไม่เคยมีประวัติการเป็นโรคหัวใจมาก่อน คนเหล่านี้จะต้องตอบแบบสอบถามถึงพฤติกรรมการกินกาแฟและปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก อาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การใช้ยารักษาโรค การบริโภคผลไม้ พืชผัก ปลา ผลไม้เปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก และแอลกอฮอล์ มีการนำตัวอย่างเลือดของคนเหล่านี้ไปศึกษาหาร่องรอยของการอักเสบ


โดยนักวิจัยเป็นผู้วิเคราะห์ผล พบว่า

ผู้ ที่ดื่มกาแฟวันละไม่ต่ำกว่า 200 ซีซี (มากกว่าหนึ่งถ้วยนิดหน่อยซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ถือว่าดื่มปานกลาง โดยหนึ่งถ้วยกาแฟมีคาเฟอีน 28 มิลลิกรัม ผู้ดื่มอาจดื่มกาแฟสำเร็จรูปบ้าง กาแฟคั่วบ้าง จะเป็นคาปูชิโนหรือเอสเปรสโซ่ หรือชนิดใดก็ตามซึ่งมีคาเฟอีนปริมาณต่าง ๆ กัน ผู้วิจัยจะนำมาคำนวณความต่างตรงนี้ด้วย) มีร่องรอยการอักเสบมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ


รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจได้.

ขั้นตอนการปลูกกาแฟ

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่

พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นที่ๆมีความสูง ประมาณ 800-12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ความลาดชันไม่เกิน 50% ทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มทำ
ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง(ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม)
ทำแนวระดับโดยใช้อุปการณ์ช่วยเช่นไม้รูปตัวเอเขาควายหรือระดับน้ำ ทำแนวปลูกกาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น
2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวขึ้นอยู่กับความลาดชัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด
0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน
หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม

ขั้นตอนที่ 2 การปลูก

นำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้
้ ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำในเบื้องต้น แล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่น
ใช้ไม้ปักกันลมโยกคลอน

ส่วนผสมของกาแฟแต่ละชนิด





คาปูชิโน


สำหรับ คาปูชิโนนั้นส่วนผสมหลักแล้วก็จะมีอัตราส่วนของเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย




ลาเต้


เอส เพรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ




เอสเพรสโซ๋


วิธี การชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเพรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเพรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป(ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเพรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต)




ผง กาแฟที่ใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละระบบการชง ระบบการชงแบบแรงดันนำ้ หรือแรงอัด จะต้องใช้ผงละเอียด แต่ไม่ถึงกับเป็นแป้ง (ขนาดของไซด์ผงกาแฟที่บด จะแปรผันตาม ระยะเวลาที่ทำกาแฟ อาทิ เครื่องชงแบบ เอสเพรสโซ่ เวลามาตราฐานอยู่ที่ 18-30 วินาที ก็ต้องใช้ ผงละเอียด แต่หากเป็นการชง ลักษณะอื่นๆ เช่น ชงโดยที่ชงแบบเฟรนช์เพรส ก็ต้องบดให้หยาบขึ้นและระยะเวลาที่ชงก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ <ยิ่งหยาบยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นในการชง>
ในการชงเอสเพรสโซ จะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อรสชาติ อาทิ เมล็ดกาแฟที่ใช้ (สมควรเป็นเมล็ดกาแฟที่คั่ว เก็บมาไม่เกิน 1 เดือน),การบดกาแฟ (ขนาดของผงกาแฟที่บด ต้องสัมพันธ์ กับเครื่องชงและระยะเวลาการไหล ของกาแฟ ขณะชง) , นำ้ที่ใช้ชงกาแฟ (คุณภาพเป็นนำ้ที่ใช้ บริโภค ไม่ควรใช้นำ้สะอาดบริสุทธิ์ จนเกินไป เพราะ นอกจากไม่ได้รับ สารอาหารที่มากับนำ้ แล้วยังมีผลกระทบ ต่อรสชาติ ด้วย) , ระยะเวลาในการชง (ดังที่กล่าวไว้ ในข้างต้น หากใช้เวลา การชงเอสเพรสโซ่ตำ่กว่า 18 วินาที หรือ underextract แสดงว่า การแพคกาแฟ ต่อชอต ไม่แน่นพอ หรือ ปริมาณผงกาแฟในชอต มีน้อยเกินไป หรือ ขนาดผงกาแฟหยาบเกินไป หากการหลั่นกาแฟเอสเพรสโซ่ นานเกินกว่า 30 วินาที จะมีผลทำให้เอสเพรสโซ่ที่ได้ มีรสขม bitter ไม่เข้ม มีกลิ่นไหม้ burn จากการชงแบบเครื่องอัด

สายพันธุ์กาแฟ

กาแฟมีสายพันธุ์หลักๆ 2 พันธุ์ คือ

ภาพต้นการแฟที่พึ่งงอก ทรงพุ่มอราบิก้า

ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับกาแฟ

กาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) ปลูกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 ฟุต ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ รสหอมกลมกล่อม ในเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าพันธุ์โรบัสต้า ประมาณ 1 เท่า ผลผลิตของกาแฟทั่วโลกเป็นกาแฟพันธุ์อราบิก้า 75%

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ปลูก ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อราบิก้า มีสัดส่วนของผลผลิตกาแฟทั่วโลก 25%


กาแฟ เป็นไม้พุ่มยืนต้น ขนาดปานกลางสูงประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ๆ ดอกออกตามข้อของกิ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมต้นกาแฟในประเทศไทยเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ ระยะเวลาตั้งแต่การออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า “Coffee Cherry” มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด

โดย ส่วนแบนของเมล็ดประกบติดกัน เมื่อเก็บผลเชอรี่แล้วจึงเข้า สู่ขั้นตอนการลอกเปลือก เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟ ซึ่งมี 2 กรรมวิธี คือ

1) กรรมวิธีตากแห้ง (Dry Method) เป็นการนำผลเชอรี่มาตากแห้ง ใช้เวลาประมาณ 15 วัน จากนั้นจึงทำการกระเทาะเปลือกออกอีกครั้งหนึ่ง

2) กรรมวิธีแช่น้ำ (Wet Method) คือ การนำผลเชอรี่แช่ในน้ำ เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องกระเทาะเปลือก จากนั้นนำมาตากแห้ง หรือเข้าเครื่องอบ วิธีนี้ใช้เวลาน้อยกว่าวิธีตากแห้ง (Dry Method)

วิวัฒนาการของกาแฟ

กาแฟ นับจากอดีตที่มนุษย์รู้จักนำกาแฟจากป่ามาบริโภค ซึ่งแรกๆมนุษย์น่าจะนำกาแฟมาบริโภคในทางยามากกว่า
สมัยดึกดำบบรรพ์มนุษย์อยู่กับป่าเขามาตลอด จึงรู้ถึงคุณค่าของต้นไม้ใบไม้แต่ละชนิดดี รวมทั้งนำต้นไม้เหล่านี้มาใช้
้ ในทางยา ซึ่งอาจจะใช้ใบ ผล หรือราก กิ่งก้านต่างๆ ซึ่งทุกส่วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น แต่สำหรับกาแฟ ซึ่งเป็นพืชป่ามาก่อน เชื่อกันว่าแรกๆนำมาใช้บำบัดการเจ็บป่วย ช่วยลดอาการเจ็บลงได้ รวมถึงการนำกาแฟไปใช้ในการห้ามเลือดและอื่นๆ
หลังจากที่ความเจริญเข้ามาครอบงำมนุษย์ กาแฟก็ได้เวลานำมาปลูกเป็นกิจลักษณะตามความนิยมจนกลายมาเป็นพืช
เศรษฐกิจของโลกไปแล้ว ในแต่ละปีคนทั้งโลกบริโภคกาแฟหลายแสนตัน การปลูกกาแฟก็เริ่มนำความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์มาพัฒนาให้ได้กาแฟที่ให้ผลผลิตและคุณภาพสูง การคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม การคัดเลือกสายพันธุ์
ของกาแฟ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวของกับคุณภาพของกาแฟทั้งสิ้น กาแฟถูกนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด
แต่ส่วนมากจะอยู่ในรูปของเครื่องดื่ม ซึ่งมีส่วนผสมของกาแฟมากบ้างน้อยบ้างตามความต้องการของผู้ผลิต

สมัยก่อนจะมีร้านขายกาแฟโดยเฉพาะ ซึ่งร้านกาแฟเหล่านี้จะเป็นแหล่งรวมผู้คนที่นิยมในรสชาดของกาแฟ
โดยเฉพาะหรือไม่ก็เป็นที่พบปะหรือเสวนากันโดยมีกาแฟเป็นสื่อกลาง จากอดีตจนถึงปัจจุบันความนิยมในกาแฟ
ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่ในทางตรงกันข้ามความนิยมในกาแฟกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไปจากอดีตก็ตาม แต่กาแฟก็ไม่ได้เปลี่ยนตาม เพียงแต่กาแฟพัฒนาการตามการดื่มและวิธีการดื่มของผู้คนเท่านั้น จากเมื่อก่อนถ้า
จะดื่มกาแฟก็ต้องบดกันแบบสดๆเลย คั่วแบบสดๆ ทุกขั้นตอนทำในขณะนั้นเลย แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนรูปแบบไป
กาแฟได้ถูกแปรรูปแบบไปเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น กาแฟสำเร็จรูป กาแฟพร้อมดื่มบรรจุกล่อง กาแฟผง กาแฟผสม
กาแฟร้อน กาแฟเย็น กาแฟรสต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นการประยุกต์กาแฟให้เข้ากับยุคสมัยโลกเจริญการนำกาแฟไปเป็น
ส่วนผสมของอาหารบางชนิดหรือผลิตภัณฑ์บางชนิด กานำกาแฟไปเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มประเภทชูกำลัง
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง กาแฟยังสามารถพัฒนาการไปได้อีกมากมาย ดังนั้นเราจะเห็นว่าเส้นทางเดินของกาแฟ
จากอดีตถึงปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก มีการนำกาแฟมาสร้างประโยชน์ได้หลากหลายอย่าง กาแฟสร้างทั้งเงินมหาศาลและ
งานให้กับมนุษย์ สร้างความพึงพอใจ สร้างสังคมสัมพันธภาพอันดีให้กับมนุษย์ชาติ จะเห็นว่าไม่มีแม้แต่วันเดียวเลย
ที่มนุษย์ไม่บริโภคกาแฟ ซึ่งไม่ทางตรงคือการดื่มกาแฟทั่วๆไป หรือไม่ก็ทางอ้อมซึ่งมีกาแฟเป็นส่วนผสมอยู่
ดังนั้นจะเห็นว่าเราสัมผัสกาแฟอยู่ตลอดเวลาของการดำรงชีวิตไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ถึงแม้บางท่านจะไม่ชอบกาแฟ
แต่สักวันก็ต้องได้บริโภคกาแฟโดยไม่รู้ตัว เหตุเพราะกาแฟเข้าไปเป็นส่วนผสมอยู่ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
จะเห็นว่ากาแฟให้ประโยชน์อย่างมหาศาลกับมนุษย์นอกจากประโยชน์และรสชาดที่มีอยู่ในตัว ยังสร้างงาน สร้างเงิน
และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง

ดังนั้น กาแฟ จึงถูกยกให้เป็นพืชเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ที่สร้างรายได้ให้กับโลกมนุษย์แบบไม่มีที่สิ้นสุดและ
ไม่มีวันหมด และนับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆตามสมัยนิยมของคนรุ่นใหม่ ที่มีการนำกาแฟไปประยุกต์เป็น
รูปแบบต่างๆออกไป เพื่อพัฒนาการให้สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ ความนิยมในกาแฟนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากอดีตสู่ปัจจุบัน และในอนาคตต่อไปอีกชั่วนิรันดร์...

การคั่วกาแฟ

การคั่วกาแฟ

การ คั่วกาแฟ การคั่วกาแฟเป็นวิธีและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดึงคุณสมบัติต่างของกาแฟ ออกมาไม่ว่าจะเป้นความหอม ความกลมกล่อมของรสชาติ เข้ม กลมกล่อม ต่างๆออกมา ปกติการคั่วการแฟจะใช้ความร้อนที่ 180 240 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 -20 นาที อุณหภูมิและระยะเวลาที่ใช้จะมีผลต่อความหอมและรสชาติกาแฟ เป็น อย่างยิ่ง ระดับความเข้มอ่อนของการคั่ว สามารถแบ่งออกเป็นระดับได้มากกว่า 12 ระดับ และกลิ่นหอม แตจะขออธิบายง่ายๆเป็น 3 กลุ่มเพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น

กาแฟคั่วระดับอ่อน (light roast) สีน้ำตาลอ่อน บางกลุ่มประเทศจะเรียกว่า ซิน่าม่อนครับ เพราะมีสีเหลืองน้ำตาลแบบเปลือกต้นอบเชย การคั่วกาแฟแบนี้นั้น จะได้รสชาติควมเป็นกาแฟที่ดี อาจมีรสชาติความเปรี้ยวของกรดผลไม้ ที่มีอยู่ในกาแฟด้วย

กาแฟคั่วระดับปานกลาง ( medium roast ) จะ มีระดับสีความเข้มเพิ่มมากขึ้น ปกติคนอเมริกันจะชอบทานกาแฟระดับนี้โดยชงแบบหม้อต้ม และดื่มกันเป็นแบบแก้วใหญ่ ที่เรียกว่า บักส์ซึ่งในความคิดผมกาแฟระดับนี้ จะชงกาแฟร้นได้อร่อยหอมกรุ่นมาก ครับ

การคั่วระดับเข้ม ( dark roast ) เมล็ด กาแฟที่คั่วระดับนี้จะมีสีเข้มมาก เมล็ดจะมันวาวเหมือนมีน้ำมันมาเคลือบจนบางคนเข้าใจว่าต้องใส่น้ำมันหรือเนย ด้วยขัยวครับ การคั่วแบบนี้จะให้รสเข้มข้น ซึ่งป็นรสชาติที่ชาวอิตาเลี่ยนดื่มกัน และนำกาแฟชนิดนี้ ไปใช้ชงด้วยเครืองชงแบบมีแรงดันได้กาแฟเข้มข้นที่เรียกว่า เอสเพรสโซ่ละครับ

การคั่วกาแฟ

สำหรับ หลักการในการคั่วนั้น หลังจากที่เลือกเมล็ดกาแฟดิบ หรือสารกาแฟมาแล้วจะทำการตรวจเช็ระดับความชื้นของเมล็ด เพื่อให้ความชื้นที่เหมาะสมครับ หลังจากนั้นจะเข้าเครื่องคั่ว ซึ่งจะมีทั้งระบบที่เมล็ดสัมผัสกับหม้อคั่วโดยตรง หรืออาจะเป็นระบบที่เมล็ดลอยอยู่สัมผัสกับอากาศร้อน ครับ ก็จะได้เมล็ดกาแฟที่หอมกรุ่นเหมือนกันครับ ซึ่งผู้คั่วแต่ละรายจะมีเทคนิคในการคั่วที่แตกต่างกัน ครับ เมื่อ คั่วกาแฟได้สีที่ต้องการแล้วนั้น ก็จะมีการปล่อยกาแฟออกจากเครื่องคั่วและเป่าลมเย็นประทะกับกาแฟ ให้กาแฟเย็นลงเร็วที่สุด เพราะธรรมชาติของเมล็ดกาแฟก็เหมือนกับไม้ที่ถูกเอาไปเผาไฟละครับ ถ้าไม่ทำให้เย็นเร็วสุดก็จะเกิดการไหม้ต่อเนื่องไปเหมือนถ่านครับ หลังจากนั้น บาง โรงคั่วเมือคั่วเสร็จกาแฟเริ่มเย็นก้จะบรรจุลงถุงทันที ส่วนใหญ่จะทิ้งข้ามคืน ให้เมล็ดกาแฟได้คลายก๊าซสะสมในเมล็ดบ้าง มีบางทฤษฎี บอกว่าเมื่อกาแฟคั่วเสร็จและถูกทิ้งไว้ เมล็ดกาแฟจะสัมผัสกับอากาศ และแลกเปลี่ยนก๊าซ และทำปฏิกิริยากับอากาศ ในวันที่ 5 หลังจากคั่วเสร็จจะเป็นวันที่เมล็ดกาแฟมีความหอมสูงที่สุด และคววามหอมจะค่อยๆลดลงหากไม่เก็บในลักาณะที่ถูกต้อง

การเก็บกาแฟคั่วที่ถูกต้อง

เนื่อง จากหากเก็บกาแฟไว้ถูกอากาศ สารประกอบประเภทน้ำมันที่มีภายในเมล็ดจะทำปฎกิริยากับ อากาศทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนและไอน้ำในอากาศจะส่งผลให้คุณภาพด้านกลิ่นลดลง อย่างรวดเร็วดังนั้นเราควรที่จะเก็บกาแฟลงในถุงที่มีวาล์ลไล่อากาศหรือวัสดุ ที่เป็นสูญญากาศและไม่ควรถูกแสง ดังนั้นหากท่านเห็นร้านกาแฟที่ควักกาแฟจากโหลแก้วที่โชว์ออกมาชงขอให้รู้ว่า นั้นไม่ใช่วิธีการเก็บกาแฟที่ถูกต้องครับ